> seen
สี่ดรุณี คือชื่อภาษาไทย อ่านแล้วจั๊กจี้ชอบกล เป็นหนังที่สร้างอารมณ์ 'กินใจ' (heartfelt) มีความโรแมนซ์ และดรามาทิค ทั้งตัวบทละคร เครื่องแต่งกาย โทนสีของภาพ รักเลย 💚 เป็นเรื่องราวของหญิงสาวสี่คนพี่น้องที่มีมุมมองในการใช้ชีวิตและความฝันที่แตกต่างกัน ซึ่งเราพบสิ่งที่สามารถเชื่อมโยงกับที่ชีวิตในปัจจุบันเราได้ ประกอบไปด้วยเรื่องค่านิยมของผู้หญิงในยุคนั้น (ศตวรรษที่ 18 ?) ความฝัน ความรัก ความอิสระเสรี ชนชั้นและค่านิยมทางสังคมทั้งในเรื่องการงานและการมีชีวิตคู่ของเพศหญิง และเราขอรีวิวแต่ในส่วนที่เราชอบละกันนะ : ) โจ มาร์ช คือ หนึ่งในสี่พี่น้องที่เมื่อดูไปสักพักจึงพบว่าเป็นตัวละครหลักที่เป็นผู้เล่าเหตุการณ์ของหนังเรื่องนี้ โจเป็นตัวแทนของหญิงสาวที่ยึดมั่นในการเดินตามความฝันของตัวเองที่จะเป็นนักเขียน เธอมีความมุ่งมั่นที่คนในครอบครัวยอมรับถึงพรสวรรค์ของเธอ แม้ว่าโจจะโดนปฏิเสธการตีพิมพ์งานเขียนมามากมายก็ตาม แต่สิ่งที่เราชอบโจและแอบโยงกับตัวเราเองก็คือ การลดกำแพงของตัวเองลงโดยที่ไม่ทำให้ชีวิตเสียสมดุล ตัวละครโจมีความยึดมั่นในความคิดของตนเองค่อนข้างสูง เธอมีความโดดเด่นและมุ่งมั่นที่จะสร้างการยอมรับในยุคสมัยนั้นที่ผู้หญิงเริ่มออกไปแสวงหาตัวตนและรับผิดชอบชีวิตด้วยตัวของเธอเอง (หากพูดถึงพรสวรรค์ของสาวๆ คนอื่นในเรื่องก็ประกอบด้วย การเล่นดนตรี วาดภาพ เป็นต้น) แต่ตอนหนึ่งในหนังมีเรื่องนึงที่โจไม่ค่อยจะเปิดรับการเปลี่ยนแปลงในชีวิตก็คือ 'ความรัก' ซึ่งเป็นเประเด็นที่เป็นนัยซ่อนอยู่ในหนังที่เมื่อดูจบแล้วทำให้คิดย้อนกลับไปมากับเรื่องค่านิยมทางสังคมของเพศหญิง ซึ่งเราขอตั้งคำถามแทนการอธิบายจากหนังในประเด็นความรักและความอิสระว่า ถ้าคุณเป็นผู้หญิงโสดที่มีความฝัน กำลังมีความมุ่งมั่นในการใช้ชีวิต คุณจะเลือกแต่งงานมีครอบครัว หรือคุณจะเดินทางคนเดียวไปตลอดชีวิต? ส่วนตัวละครอีก 3 คนที่เป็นพี่น้องของโจนั้นทำให้เราเปรียบเทียบพัฒนาการทางความคิดและการดำเนินชีวิตของตัวละครที่แตกต่างกันควบคู่ไปกับโจได้เป็นอย่างดี ซึ่งสุดท้ายแล้ว เมื่อดูเรื่องราวชีวิตของหญิงสาวสี่คนอันแสนจะธรรมดา ก็พบว่าเป็นหนังที่แฝงไปด้วยความฝันของผู้หญิงในสังคมที่สามารถมองได้หลายมิติ อาทิ ค่านิยมที่มองว่าผู้หญิงต้องใช้ชีวิตอยู่ภายใต้กรอบบางอย่างที่สังคมคาดหวัง เช่น ต้องเรียบร้อย ต้องมีคู่ครองที่เลี้ยงดูตัวเองได้ หรือมิติที่มองว่าผู้หญิงไม่จำเป็นต้องมีคู่ชีวิต ผู้หญิงสามารถรับผิดชอบชีวิตของตัวเองได้ หาความสุขในชีวิตกับเพื่อนฝูงก็ได้ (ซึ่งการนำเสนอของหนังนั้นเป็นตัวแทนในมิติหลัง...มั้ง...แหละ ฮ่าๆ) เอาจริงๆ มีตอนนึงที่แแอบสะอึก Jo March : I care more to be loved. I want to be loved. Marmee March : That is not the same as loving. หรือประโยคที่ว่า ; Jo March : Women, they have minds, and they have souls, as well as just hearts. And they've got ambition, and they've got talent, as well as just beauty. I'm so sick of people saying that love is just all a woman is fit for. I'm so sick with it..but I'm so lonely. (เอ๊ะ...นี่คนเขียนหนังอ่านความคิดคนได้ล่ะ) สุดท้ายแล้วจริงๆ เราก็มีความฝันอยากจะได้พบช่วงเวลาแบบพวกเธอคนใดคนหนึ่งในสี่คนนี้บ้างแหละนะ (ไม่ปฏิเสธ) ไม่ว่าจะเป็นการได้ไปอยู่ในที่ที่ตนเองสามารถทำในสิ่งที่รัก ได้อยู่กับครอบครัวพร้อมหน้าพ่อแม่พี่น้อง การได้พบเจอคนที่เรารัก หรือคนที่รักเรา หรือการพบเจอเพื่อนที่เข้าใจกันแม้ว่าจะผ่านเรื่องราวที่แสนเศร้าต่อกันมาก็ตาม (โคตรจะแฮปปี้เอ็นดิ้งของภาพยนตร์) มนุษย์เป็นสัตว์สังคมมมมมม~ มีพอดแคสหนึ่งบอกไว้ทำนองว่า การลองอะไรใหม่ๆ ไม่ว่าจะเป็นสิ่งเล็กน้อยในชีวิตประจำวันก็นับเป็นสิ่งที่จะทำให้เราเติบโตไปเรื่อยๆ be a little women to be a women : ) Women, they have minds, they have souls, Comments are closed.
|
AuthorSuphitchaya Khunchamni Archives
July 2022
Categories |